กรุณาระบุคำค้นหาที่ท่านต้องการ

05 กันยายน 2565
ผู้เข้าชม 1,483 คน
Post Content Image
ข้อบังคับ
มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด

หมวดที่ ๑
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง

ข้อ ๑ มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด ย่อว่า ทสส. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Foundation for a Clean and Transparent Thailand ย่อว่า FaCT

ข้อ ๒ เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ คน ๔ คน ถือธงไทย แทนความหมายของการจับมือรวมพลังของคนไทยทุกคนทั้ง ๔ ภาควงกลมสีส้มด้านหลังดุจดังพระอาทิตย์ขึ้น แทนความหมายของการจุดประกายความหวังและพลังให้กับสังคมไทยให้ลุกขึ้นมาร่วมสู้เพื่อให้ประเทศไทยใสสะอาด

ด้านล่างมีตัวอักษร ประเทศไทยใสสะอาด ปราศจากคอร์รัปชัน

ข้อ ๓ สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน ๔๗/๑๐๑ ถนนติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐


หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์

ข้อ ๔ วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ

    ๔.๑ เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนไทยมีจริยธรรม มีคุณธรรม รังเกียจการทุจริต ถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ รวมทั้งประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่มีความใสสะอาด

    ๔.๒ เพื่อสร้างแนวร่วมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในสังคมไทย

    ๔.๓ ให้ความช่วยเหลือในการให้คำปรึกษา แนะนำ การจัดฝึกอบรม การดูงานผลิตเอกสาร เผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในสังคมไทย

    ๔.๔ จัดให้มีการศึกษา วิจัยและสัมมนาเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในสังคมไทย

    ๔.๕ ร่วมมือกับสถาบันและองค์กรทั้งในและต่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ทำนองเดียวกัน

    ๔.๖ ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์อื่น รวมทั้งให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ

    ๔.๗ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด


หมวดที่ ๓
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน

ข้อ ๕ ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ เงินสด จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)

ข้อ ๖ มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สิน โดยวิธีต่อไปนี้

    ๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นใด โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด

    ๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคหรือให้การสนับสนุน

    ๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ

    ๖.๔ รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ


หมวดที่ ๔
คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ

ข้อ ๗ กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

    ๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์

    ๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ

    ๗.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

ข้อ ๘ กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

    ๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ

    ๘.๒ ตายหรือลาออก

    ๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับข้อ ๗

    ๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติหรือปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ


หมวดที่ ๕
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ

ข้อ ๙ มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๐ คน แต่ไม่เกิน ๒๐ คน ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขาธิการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร

ข้อ ๑๐ ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิ เป็นผู้เลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการตำแหน่งอื่น ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ

ข้อ ๑๑ วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ

ข้อ ๑๒ กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๓ ปี นับแต่วันเลือกตั้ง

ข้อ ๑๓ การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม

ข้อ ๑๔ กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิอีกได้

ข้อ ๑๕ ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่กรรมการของมูลนิธิต่อไปจนกว่ามูลนิธิจะมีการแจ้งจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่เลือกตั้งใหม่


หมวดที่ ๖
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ

ข้อ ๑๖ คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้

    ๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินงานตามนโยบายนั้น

    ๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ

    ๑๖.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีงบดุล รายได้รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย

    ๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้

    ๑๖.๕ ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ

    ๑๖.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ

    ๑๖.๗ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นประธานและหรือกรรมการกิตติมศักดิ์

    ๑๖.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ

    ๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ

    ๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิมติให้ดำเนินการตามข้อ ๑๖.๗, ๑๖.๘ และ ๑๖.๙ ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุม และที่ปรึกษาตามข้อ ๑๖.๙ ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น

ข้อ ๑๗ ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

    ๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ

    ๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ

    ๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ข้อบังคับ และสรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้

    ๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ

ข้อ ๑๘ ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน

ข้อ ๑๙ ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการมูลนิธิคนหนึ่ง เป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น

ข้อ ๒๐ เลขาธิการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการและดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ

ข้อ ๒๑ เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด

ข้อ ๒๒ สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน

ข้อ ๒๓ คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้


หมวดที่ ๗
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ

ข้อ ๒๔ คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม

ข้อ ๒๕ การประชุมวิสามัญอาจมีได้เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุม ก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้

ข้อ ๒๖ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น สำหรับกิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ

ข้อ ๒๗ ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธานที่ประชุม มีสิทธิเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควร เข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้


หมวดที่ ๘
การเงิน

ข้อ ๒๘ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินจำนวนดังกล่าว

ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วน หรือเป็นการจ่ายตามแผนงานที่ได้รับอนุมัติล่วงหน้าไว้แล้ว ให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป

ข้อ ๒๙ เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาทถ้วน)

ข้อ ๓๐ เงินสดของมูลนิธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน หรือตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร

ข้อ ๓๑ การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน หรือกรรมการมูลนิธิที่ประธานกรรมการมูลนิธิมอบหมาย กับเลขาธิการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้

ข้อ ๓๒ การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ

ข้อ ๓๓ ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่างๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ

ข้อ ๓๔ ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี

ข้อ ๓๕ ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการของมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไร สุดแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด

ข้อ ๓๖ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิและรับรองบัญชีงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย และมีสิทธิตรวจสอบบัญชี

และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้


หมวดที่ ๙
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ

ข้อ ๓๗ การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับให้กระทำได้โดยที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วย คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม


หมวดที่ ๑๐
การเลิกมูลนิธิ

ข้อ ๓๘ ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

ข้อ ๓๙ การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลง โดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้

    ๓๙.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน

    ๓๙.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก

    ๓๙.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ

    ๓๙.๔ เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ


หมวดที่ ๑๑
บทเบ็ดเตล็ด

ข้อ ๔๐ การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด

ข้อ ๔๑ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้

ข้อ ๔๒ มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง


                                                                                                                    (ลงนาม)                                     ผู้จัดทำข้อบังคับ

                                                                                                                                (คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์)

                                                                                                                  ประธานกรรมการมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ข้อบังคับมูลนิธิ

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว

การตั้งค่าคุกกี้