คำว่า “ครู-อาจารย์” นั้น ผู้เขียนขอเน้นก่อนว่าหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่สอนนักเรียน นิสิต นักศึกษาในสถาบันการศึกษาทุกระดับ แยกกันนิดเดียวครับ เพราะผู้ที่สอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษานั้น เรียกว่า “ครู” ส่วนผู้ที่สอนในสถาบันการศึกษาซึ่งเปิดสอนในระดับปริญญา ไม่ว่าปริญญาตรี โทหรือเอก เรียกว่า “อาจารย์” เหตุที่ต้องย้ำเรื่องการมีคุณธรรมจริยธรรมของครู-อาจารย์ว่าควรมีมากกว่าวิชาชีพอื่นก็ครูถือเป็น “แม่ปู” ที่ลูกศิษย์ซึ่งเป็น “ลูกปู” ต้องดูเป็นตัวอย่าง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ครูเป็นแม่แบบ
ปัจจุบันมีข่าวครู-อาจารย์ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง ข่าวหน้าหนึ่งนั้นมักเป็นข่าวไม่ค่อยดีสักเท่าไรหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวในด้านลบมากกว่า ผู้เขียนเห็นว่าครู-อาจารย์เหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อศิษย์ จำนวนครูที่แน่นอนนั้น ผู้เขียนเข้าไปในเว็บไซต์ของของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว เห็นมีแต่จำนวนเฉพาะจำนวนนักเรียนและอื่นๆ แต่หาจำนวนครูนั้นผู้เขียนไม่พบครับ ไม่ทราบว่าไม่มีตัวเลขนี้หรือไปซ่อนตัวเลขนี้ไว้ที่ไหน แต่พอทราบตัวเลขกลมๆ ของจำนวนครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า มีประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ คน ส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน
ส่วนจำนวนอาจารย์ของมหาวิทยาลัยนั้น เข้าไปในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแล้วเช่นกันแต่ก็หาไม่พบ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอาจารย์ของมหาวิทยาลัยนั้น หายากมากเพราะบางมหาวิทยาลัยมีอาจารย์พิเศษจากภายนอกมากมายเหลือเกิน
สรุปได้เพียงว่าจำนวนครู-อาจารย์ตามคำนิยามของผู้เขียนนั้นมีเป็นจำนวนมาก เหตุที่เกิดขึ้นในภาพลบแม้จะดังมากก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนครู-อาจารย์ที่มีอยู่แล้ว มีจำนวนน้อยนิดครับ
เรียกได้ว่า “ครู-อาจารย์” ส่วนใหญ่ ยังพอเป็นแม่แบบได้ แม้ว่าครู-อาจารย์ปัจจุบัน เมื่อเทียบกับครู-อาจารย์สมัยก่อนในเรื่องความสามารถในการสอนคงจะเทียบกันไม่ได้ก็ตาม แต่ถึงน้อยเท่าไดก็ตาม หากครู-อาจารย์มีคุณธรรมจริยธรรมสูงกว่าอาชีพอื่นก็จะทำให้ประเทศชาติของเรามีคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้น เพราะดังที่กล่าวแล้วว่าครู-อาจารย์เป็นแม่แบบ ดังนั้น ประเทศก็จะมีนักเรียนซึ่งเป็นอนาคตของชาติเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม
มาดูภาพลบของครู-อาจารย์เท่าที่ปรากฏเป็นข่าวกันหน่อยครับ ผู้เขียนเห็นว่ามีอยู่ 2 ประเภทครับ กล่าวคือ
ประเภทแรก คือข่าวเรื่องชู้สาว ซึ่งผู้เขียนขอแยกได้ออกเป็น 3 อย่าง คือ
อย่างแรก เกิดจากความใกล้ชิดครูชายและศิษย์สาวก็ย่อมใกล้ชิดกันเป็นธรรมดาครับ เพราะเจอหน้ากันเกือบทุกวัน แต่ที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดซึ่งอาจมีการสัมผัสเนื้อตัวกันบ้างก็คือครูพลศึกษาครับ
จะเห็นได้ว่าหากมีเรื่องฉาวโฉ่เรื่องเพศแล้วละก็ ครูพลศึกษาเป็นจำนวนที่มากที่สุด และข่าวที่ออกมาส่วนใหญ่ครูชายจะเป็นผู้เริ่มต้นก่อน อาจจะเกลี้ยกล่อมจนเด็กยินยอมหรือไม่ก็นำไปกระทำมิดีมิร้ายโดยเด็กไม่ยินยอม แต่บางครั้งก็มีเหมือนกันที่เด็กใจแตกเป็นผู้เริ่มต้นก่อน ทำให้ครูตบะแตกได้ แต่ครูที่ดีก็ต้องมีสมาธิไม่ให้ตบะแตกได้
อย่างที่สอง เกิดจากการแลกเกรด
เมื่อเกิดเรื่องแลกเกรดโดยอาจารย์ได้นำเข้าโรงแรม ถูกจับได้อาจารย์ชายกล่าวว่าขอลองใจลูกศิษย์สาวเท่านั้น เหตุเป็นข่าวฮือฮามาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของอาจารย์หรอกครับ ก็อาจารย์เล่นพกถุงยางอนามัยเข้าไปลองใจลูกศิษย์ด้วยนี่ครับ ต้องชมนักศึกษาหญิงคนนั้นเป็นอย่างมากที่ตีบทแตกกระจุย นัดอาจารย์สาวและเพื่อนให้ไปจับอาจารย์ชายถึงในโรงแรม เธอใจเด็ดอย่างยิ่งที่กล้าเสี่ยง นี่ถ้าการนัดหมายเกิดผิดพลาด เพราะเทคโนโลยีล่มหรือเหตุอื่น อาจารย์หญิง เพื่อนและตำรวจมาไม่ทันเวลาแล้วละก้อ อันตรายมากๆ เลยนะหนู แล้วก็ขอชมเชยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวของท่านอธิบดีเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต ที่มอบเกียรติบัตรยกย่องแก่สตรีผู้ปกป้องสิทธิตนเอง ในวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน นี้ เวลา 11.00 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ จังหวัดปทุมธานี ประเภทชู้สาวที่เป็นข่าวนั้นมีเยอะมากครับ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าที่ไม่เป็นข่าวน่าจะมีเยอะมากกว่า
มีอีกเรื่องหนึ่งนานแล้วละครับ เรื่องนี้ผู้เขียนทราบชัดเจนแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องชู้สาวหรือไม่ แต่หากไม่ใช่ ก็อาจเกิดจากความสงสารเด็กสาวสวยๆ เท่านั้น
กรณีเกิดขึ้นเนื่องจากระเบียบของสถานศึกษาแห่งนั้น กำหนดให้นักศึกษาแห่งนั้นอาจได้รับคัดเลือกหรือมีคุณสมบัติสอบเข้าศึกษาต่อได้ต้องได้เกรด D ไม่เกิน 2 วิชา ก็แหม นักศึกษาหญิงทั้งสาวและสวยคนหนึ่งได้เกรด D ตั้ง 7 วิชา เข้าศึกษาต่อไม่ได้ก็ออดอ้อนอาจารย์ กราบอาจารย์ที่หน้าอก ทำให้อาจารย์ใจอ่อนปวกเปียก อาจารย์ผู้นั้น แน่นอนครับเป็นผู้มีอำนาจในการแก้ไขระเบียบ ก็แก้ระเบียบให้ผู้ได้เกรด D ไม่เกิน 9 วิชา เข้าศึกษาต่อได้ เรื่องนี้ นอกจากนักศึกษาสาวสวยได้อานิสงส์แล้ว นักศึกษาคนอื่นก็ได้รับทั่วกัน
ประเภทที่สอง เป็นประเภทครู-อาจารย์ที่เรียกเงินที่ไม่ควรจะได้ ประเภทนี้ก็แบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง เช่นกัน ครับ
อย่างแรก เรียกเงินเพื่อการฝากเด็ก
มีทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนและครูครับที่ทำแบบนี้ แต่เป็นประเภทตามน้ำก็มีเยอะนะครับ สมัยก่อนเกิดขึ้นเยอะมาก จับได้ไล่ทันถึงขนาดไล่ออกจากราชการไปบ้างก็มี แต่หลังจากกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายเรื่องการฝากเรียนอย่างชัดแจ้งพร้อมทั้งกำหนดโทษไว้ ข่าวเรื่องนี้ก็ลดลง แต่ยังมีการเรียกเงินกันอยู่หรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ครับ
อย่างที่สอง เป็นการแลกเงินเพื่อให้ได้ปริญญา
เรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์มากนัก แต่มีข่าวหนึ่งที่ดังกระฉ่อนมาก ที่สำคัญผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่เล่าให้ฟังนั้นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ อาจารย์ท่านนี้มีตำแหน่งใหญ่โตเสียด้วยซิครับ ไปเรียกเงินจากบุคคลหนึ่ง จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อที่จะสามารถทำให้บุคคลผู้นั้นได้รับปริญญาเอก สถาบันที่อาจารย์ผู้นี้ไปเรียกเงินเพื่อให้ได้รับปริญญาเอกนั้นเป็นสถาบันของหน่อยงานของรัฐ ใหญ่โต มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ และไม่ใช่เป็นประเภท “เงินครบ จบแน่” เสียด้วยซิครับ
ผู้เขียนยังมีความเชื่อถือในสถาบันดังกล่าว เพียงแต่เกิดความสงสัยว่าสถาบันแห่งนี้ไม่มีวิธีการป้องกันเพื่อมิให้อาจารย์ในสังกัดไปเรียกเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ได้เชียวหรือ แต่ก็อย่างว่าละครับ เคยได้ยิน “มือปืนรับจ้าง” ทำวิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์กันมานานมากแล้ว อาจารย์ท่านนั้น อาจเป็นมือปืนรับจ้างก็เป็นได้ จึงเป็นเรื่องที่สถานศึกษาทุกแห่งต้องมีมาตรการแก้ลำ “มือปืนรับจ้าง” กันบ้าง อ้อ อาจารย์ท่านนั้นคงไม่ได้ตระหนักกระมังว่าไม่มีใครทราบ เทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ตอนที่เรียกร้องเงินทอง ๕๐,๐๐๐ บาท จะไม่มีผู้ใดอัดเสียงหรือมีหลักฐานอื่นไว้บ้างเชียวหรือ ขนาดตำรวจกองปราบที่ว่าแน่ หรือผู้หมวดหญิงที่มีข่าวเมื่อคืนที่เรียกเงินเพื่อทำคดีให้นั้น ยังไม่พ้นมือผู้หญิงธรรมด๊า...ธรรมดา ที่ใช้เทคโนโลยีเป็น อัดเทปเสียงไว้ จนตำรวจทั้งสองดิ้นไม่หลุดนั่นแหละครับ
ผู้เขียนใกล้ชิดกับพระมานาน ท่านสอนว่าคนที่ทำกรรมนั้น กรรมย่อมตอบสนอง หรือ “กรรมติดจรวด” แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้วครับ “กรรมติดอินเทอร์เน็ต” ครับ “มาเร็ว เคลมเร็ว” เสียด้วยซิครับ
มีเรื่องหนึ่งที่ต้องการเน้นก็คือ ในปัจจุบันผู้ที่จบการศึกษาในสาขาวิชาอื่นที่ไม่ใช่วิชาชีพครู หากต้องการเป็นครูต้องอบรมก่อน ๑ ปี สอบให้ได้รับใบประกอบวิชาชีพครูแล้วจึงเป็นครูได้
ส่วนอาจารย์นั้นไม่มีระเบียบกำหนดไว้ว่าต้องได้รับใบประกอบวิชาชีพครู มีบ้างเช่นกันที่สถานศึกษาบางแห่งจัดอบรมเอง แต่ก็ไม่ถึง ๑ ปี และไม่ได้ทำสม่ำเสมอครับ
ขอเสนอตรงนี้เลยว่ากระทรวงศึกษาธิการควรออกระเบียบบังคับหน่อยได้ไหม ให้ครู-อาจารย์ทุกคนเข้ารับการอบรมคุณธรรมจริยธรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ถึงขนาดให้ครู-อาจารย์แต่ละคนเข้ารับอบรมทุกปีหรอกครับ 3-4 ปี ไปรับการอบรมเน้นย้ำสักทีก็น่าจะพอได้
อาจารย์ท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า ครู-อาจารย์ ที่จบการศึกษาในวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปนิกและวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยมีปัญญาเหล่านี้ มีมากสำหรับผู้จบการศึกษาสังคมศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ก็น่าทำวิจัยกันด้วยนะครับว่าเป็นเพราะเหตุใด จะได้นำมาใช้ในการป้องกันพฤติกรรมของครู-อาจารย์ เพื่อไม่ให้ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ไงละครับ
พุธทรัพย์ มณีศรี
(เผยแพร่ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๑ : OK Nation Blog)